[รีวิว]Samsung ATIV Smart PC : Tablet (แท็บเล็ต) ในสไตน์ Laptop (แล็ปท็อป)

[รีวิว]Samsung ATIV Smart PC : Tablet (แท็บเล็ต) ในสไตน์ Laptop (แล็ปท็อป)
ทางทีมงาน Sanook Hitech ได้ของมา "รีวิว" อีกแล้วครับ แต่ครั้งนี้เป็นของเล่นใหม่ที่เพื่อนๆหลายท่าน อาจจะได้ชมหรือได้ลองเล่นกันในงาน "Commart Comtech 2012" กับ Samsung ATIV Smart PC : Tablet (แท็บเล็ต) ในสไตน์ Laptop (แล็ปท็อป)


Tablet (แท็บเล็ต) ในยุคปัจจุบันมีการใช้งานเป็นอย่างมากไม่แพ้ Laptop (แล็ปท็อป) เลยก็ว่าได้ ด้วยความสะดวกสบายแล้ว Samsung ATIV Smart PC เจ๋งกว่า Laptop (แล็ปท็อป)ทั่วๆไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของผู้ใช้ด้วยนะครับ แต่เจ้า Samsung ATIV Smart PC มีความสามารถไม่น้อยไปกว่า Laptop (แล็ปท็อป) เลย
แล้วยิ่งไปกว่านั้น Samsung ATIV Smart PC มี Windows 8 แถมมาด้วย พร้อมกับของเล่นเล็กๆน้อยๆอย่างปากกา S-Pen ที่ Samsung สรรค์สร้างขึ้นมา เพื่อตอบสนองกับผู้ใช้งานที่ต้องเขียน ต้องวาดรูป กับ โปรแกรม S Note หรือ พูดง่ายๆว่า ยกเจ้า Note 2 และ Note 10.1 มาไว้ในเครื่องนี้ รวมไปทั้งความสามารถที่่แยกร่างออกมาจาก Laptop (แล็ปท็อป) สุดเก๋ กลายมาเป็น Tablet (แท็บเล็ต) สุดแนว ตอบสนองวัยรุ่นและวัยทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ

พร้อมสเปกเครื่องที่ดูแบบไม่ธรรมดาสำหรับ Tablet (แท็บเล็ต) ชิ้นนี้ เราไปดูสเปกกันต่อเลยครับ
สเปกแบบคร่าวๆนะครับ

  • จอแสดงผล HD LED ขนาด 11.6 นิ้ว ด้วยความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล และมาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีน
  • ประมวลผลการทำงานด้วย โปรเซสเซอร์ Intel ATOM Z2760 (1.8GHz, 2 x 512KB)
  • ระบบปฏิบัติการแบบใหม่อย่าง Windows 8 (32 บิต) ของแท้ด้ว
  • กราฟิก Intel Graphics Media Accelerator
  • หน่วยความจำ แรมตัวใหม่ที่พึ่งเปิดตัวที่เรียกว่า DDR2L (Low Power DDR) ขนาด 2GB x 1 ความเร็วอยู่ที่ 800MHz (บน BD ขนาด 2GB : สามารถอ่านและประมวลผลไฟล์ BD(Blu-Ray Disc) ได้
  • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง e.MMC iNAND(Embedded Flash Drive) ขนาด 64GB
  • กล้องเว็บแคมความละเอียด 2.0 ล้านพิกเซล (กล้องด้านหน้า) และ กล้องด้านหลังพร้อมแฟลชความละเอียด 8.0 ล้านพิกเซล
  • การเชื่อมต่อในรูปแบบของ 802.11 abg/n (1 x 1) และสามารถใส่ Sim รองรับ 3g ได้อีกด้วย, Bluetooth V4.0 ความเร็วสูง
  • ลำโพงสเตอริโอ ( 0.64 วัตต์ x 2 )
  • ไมโครโฟนภายใน
  • น้ำหนัก 0.744กก.

เห็นสเปกแล้วกิเลสความอยากได้ก็ผุดขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ด้วยรูปร่างแล้วรูปทรงอาจจะคร้ายๆ Laptop (แล็ปท็อป)

แต่ถ้าแยกชิ้นส่วนออกมาก็จะเห็นได้ว่ามันเป็น Tablet (แท็บเล็ต) ได้เหมือนกัน
วิธีแยกร่างก็ไม่ยากนะครับ แค่กดปุ่มที่อยู่ด้านบนของแป้นพิมพ์ และ ดึงส่วนที่เป็นจอ ออกมาก็ได้แล้วครับ

แป้นพิมพ์มีภาษาไทยมาให้ด้วย แถมบอดี้ด้านในเป็นพลาสติกแบบด้าน ส่วนด้านนอกเป็นพลาสติกแบบเงาวาว

กล้องเว็บแคมด้านหน้า ความละเอียด 2.0 ล้านพิกเซล และ ด้านหลังพร้อมแฟลช ความละเอียด 8.0 ล้านพิกเซล


ด้านข้างของหน้าจอทั้ง ซ้ายและขวา จะเป็นลำโพงสเตอริโอ ( 0.64 วัตต์ x 2 ) ส่วนด้านล่างของหน้าจอจะมีปุ่ม Home เพื่อกลับไปหน้าหลักของ Windows ดูแล้วมันก็คล้ายๆปุ่ม Home ของ iPad นะครับ

ส่วนพอร์ทต่างๆจะมีมาให้ครบทุกรูปแบบเริ่มตั้งแต่ ด้านขวาบนของขอบจอจะมีช่องใส่ Sim Card และช่องเสียบ MicroSD Card ด้านซ้ายบนของขอบจอจะมีช่องเสียบ USB 2.0 x 1 , ปุ่มล็อกหน้าจอ , ปุ่มเปิดปิดเครื่อง ,ช่องเสียบต่อหูฟัง หรือ Headset ขนาด 3.5 มิลลิเมตร (รูไมโครโฟนรับเสียง x 2)

ด้านขอบซ้ายของหน้่จอปุ่ม เพิ่ม/ลดเสียง และ มีช่องเสียบ HDMI (High Definition Multimedia interface) หรือ ช่องเสียบเชื่อมจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ และจอโทรทัศน์ LCD TV

แล้วของเล่นอีกชิ้นที่อย่าลืม ปาก S-Pen จะอยู่ด้านหลังมุมล่างขวา

โปรเซสเซอร์ Intel atom มาพร้อม Windows 8 ส่วนด้านล่างของตัวแป้นพิมพ์วัสดุจะเป็นพลาสติกแบบด้าน ดูหรูหราไปอีกแบบ แถมยังมีพอร์ท USB 2.0 x 2 อีกด้วย

อะแดปเตอร์ แยกเป็น 2ชิ้น เหมื่อนเช่นเคย
แล้วยังมีโปรแกรมเสริมแถมมาให้อย่าง Quick Starter เป็นโปรแกรม Star Manu อย่างที่เพื่อนๆรู้กันว่า Windows 8 ไม่มี Star Manu มาให้ ทาง Samsung เขาก็เลยจัดมาให้กันแบบว่าไม่ต้องไปลำบากหาดาวน์โหลดเลย
และแอพที่จัดมาให้อีกชิ้นกับ S Note ที่ผู้ใช้สนใจที่ต้องการจดบันทึก หรือ วาดภาพ ก็นำปากกามหัศรรย์เจ้า S Pen มาขีดๆเขียนๆกันได้เลย เรามาดูด้าน Software หน้าต่อไปกันครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลือ!! เปิดตัว iPad 5 และ iPad mini 2 ในช่วงมีนานี้

ลือ!! เปิดตัว iPad 5 และ iPad mini 2 ในช่วงมีนานี้
[16-มกราคม-2556] เช้านี้อัพเดทเกี่ยวกับข่าวลือของการวางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ของทางค่าย Apple กันหน่อยครับ เมื่อล่าสุดนั้นทาง Appleinsider รายงานว่า Apple อาจวางแผนเปิดตัว iPad mini 2 (ไอแพด มินิ 2) และ iPad 5(ไอแพด 5) สองรุ่นใหม่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้

โดยตามรายละเอีดยของเนื้อข่าวนั้นรายงานว่าในส่วนของ iPad mini 2 จะมีการเปลี่ยนจอเป็นแบบ "Retina Display" ส่วนของ iPad 5 นั้นมีข่าวหลุดออกมาเล็กน้อยว่ามันจะมีน้ำหนักเบาขึ้นและขนาดตัวเครื่องบางลงกว่า iPad 4 อย่างแน่นอน สำหรับในส่วนของสเป็คอื่นๆ ที่จะมีการอัพเดทนั้น ยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง แต่รับรองได้มันสามารถสูบเงินในกระเป๋าของสาวกทั่วโลกได้อีกแน่นอน!!
น่าเสียดายที่งาน CES 2013 ที่เพิ่งจัดผ่านไปนั้นทางค่าย Apple ไม่ได้มาออกบูทด้วย ไม่อย่างนั้นคงมีความชัดเจนเกี่ยวกับ iPad 5 และ iPad mini 2 มากว่านี้ดังนั้นเรามาลุ้นกันดีกว่าหากทาง Apple ทำการเปิดตัวสินค้าใหม่จริงในอีก 2 เดือนข้างข้างนั้นก็หมายความว่า วงจรผลิตภัณฑ์(Product Cycle) ของทาง apple ได้เปลี่่ยนไปแล้ว
ที่มา: appleinsider, 9to5mac
ข่าว และบทความ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ที่เกี่ยวข้อง
>>> หุ้น Apple ดิ่งหลัง iPhone 5 ไม่เข้าเป้า
>>> Apple ลั่น iPhone ราคาถูกไม่มีแน่นอน?
>>> ราคา iPhone รุ่นถูกกว่าเปิดออกมาแล้ว
>>> ซื้อไหม iPhone 6 ถ้าดีไซน์จะสวยขนาดนี้แถมใช้ iOSX ตัวใหม่!
>>> มาแล้ว! ราคา iPhone 5 อัพเดท 14 มกราคม



ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Facebook Graph Search ชน Google

Facebook Graph Search ชน Google
แม้มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) จะยืนยันว่า Facebook Graph Search บริการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวจะไม่ได้ตั้งเป้าชนเสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Google โดยตรง แต่ด้วยกลไกการทำงานของเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เฟสบุ๊คสามารถค้นหาภาพถ่าย ข้อความที่โพสต์ ตลอดจนสถานที่ได้ ซึ่งจะนำไปสู่การนำเสนอโฆษณาสิ่งที่ลูกค้าสนใจทั้งใช่ และชอบ (Likes) ปฏิเสธไม่ได้ว่า รูปแบบ และเป้าหมายของการให้บริการมันช่างคล้ายคลึงกันเสียจริง

งานเปิดตัวบริการลึกลับใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า Graph Search เมื่อคืนนี้ เฟสบุ๊คพุ่งเป้าไปที่กูเกิ้ลเสิร์ชเอ็นจิ้นด้วยเครื่องมือค้นหาใหม่สำหรับผู้ใช้บริการที่ต้องการสืบค้นภาพถ่าย ข้อความโพสต์ และสถานที่ โดยทางบริษัทกล่าวในงานเปิดตัวว่าจะทยอยเปิดให้ใช้งานอย่างช้าๆ นับจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไป (ในฐานะกรุงเทพเป็นเมืองที่มีผู้ใช้เฟสบุ๊คมากทีสุดในโลก - -" คนไทยจะได้ใช้บริการนี้เร็วไหมนะ?) อีกวัตถุประสงค์หนึ่งของการเพิ่มบริการ Facebook Graph Search ก็คือ การรักษาฐานผู้ใช้บริการ 1 พันล้านรายให้อยู่กับเว็บไซต์นานๆ และด้วยจำนวนกับวิธีเข้าถึงข้อมูลด้วยการค้นหาที่สอดคล้องกับความสนใจ และความชอบจากผู้ใช้บริการมากมายขนาดนี้ เฟสบุ๊คฝันว่า มันจะดึงดูดให้ผู้ลงโฆษณาสนใจจะใช้บริการเผยแพร่สินค้า และบริการกับทางเฟสบุ๊คมากขึ้นแทนที่จะใช้กับ Google เท่านั้น ซึ่ง Graph Search นอกจากจะมีโมเดลในการให้บริการ และธุรกิจชนกับเสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่แล้ว มันยังชนอย่างจังกับบริการของ Foursquare และ Yelp อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในงานแถลงข่าวเปิดตัวบริการ Facebook Graph Search ที่สำนักงานใหญ่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวว่า "นี่คือบริการที่เจ๋งที่สุดที่เราทำได้ในขณะนี้ มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างมันขึ้นมาในเฟสบุ๊ค มันเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ของผู้ใช้ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยี และสังคม" ผู้ใช้ต้องการฟังก์ชันค้นหาสิ่งต่างๆ (นอกจากเพื่อน หรือแฟนเพจของคนที่สนใจ) ในเฟสบุ๊คมาตั้งนานแล้ว ซีอีโอ Facebook ยังแย้มถึงคุณสมบัติของ Graph Search ว่า มันจะเป็นเครื่องมือที่ใช้เจาะตลาดนัดบอดออนไลน์ (Online-Dating) ตลอดจนเว็บไซต์สังคมมืออาชีพ หรือคนหางานอย่าง LinkedIn ได้อีกด้วย ซึ่งในการสาธิต เขาได้แสดงให้เห็นถึงการค้นหาภัตตาคารเม็กซิกันที่เพื่อนๆ ของเขาเคยไปทานกันมาแล้ว และระบุว่า "ชอบ" ภัตตาคารแห่งนั้นด้วย อย่างไรก็ดี Zuckerberg และทีมผู้บริหารเฟสบุ๊คยังคงยืนยันว่า Graph Search ไม่ใช่เว็บเสิร์ช และมันจะสามารถวิวเฉพาะคอนเท็นต์ที่ผู้คนแชร์เท่านั้น นอกจากนี้มันยังรองรับการค้นเป็น "วลี หรือถ้อยคำ" (phrases) ไม่ใช่คีย์เวิร์ด อย่างไรก็ตาม หากการค้นหาของคุณไม่พบสิ่งที่ต้องการ หรือไม่มีการแชร์ของผู้คนในเรื่่องที่คนสนใจ ระบบจะแสดงผลการค้นหาจากบริการ Bing ของ Microsoft
ตามรายงานข่าวยังได้มีการเปิดเผยข้อมูลจาก eMarketer เกี่ยวกับรายได้จากโฆษณาของ Facebook ในปีที่แล้วที่มียอดรวมอยู่ที 4.2 พันล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็น 84% จากยอดรายได้รวม 5 ล้านเหรียญฯ หากเทียบกับ Google เฉพาะโฆษณาทีเป็นดิสเพลย์แอดในสหรัฐฯ ในปีที่แล้วมียอดทิ้ห่างจาก Facebook มากกว่าสามเท่าตัวคือ 15 พันล้านเหรียญฯ ทั้งนี้ Facebook จะยังไม่เปิดให้บริการ Graph Search บนอุปกรณ์โมบายในเร็วๆ นี้ เนื่องจากมันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำอินเด็กซ์ของข้อมูลทั้งหมดบนเฟสบุ๊คเสร็จ ในอนาคตทางบริษัทมีแผนทจะทำเวอร์ชันโมบาย ภาษาอื่นๆ นอกจากอังกฤษ ตลอดจนข้อความโพสต์ทั้งหมด และคอนเท็นต์ทั้งหมดบนเฟสบุ๊ค เพราะมันคือ อนาคตของเฟสบุ๊ค ทั้งนี้ Graph Search เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของบริการของ Facebook ถัดจาก News Feed และ Time line ในขณะที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 พันล้านราย ภาพที่อัพโหลดขึ้นไปมากกว่า 2.4 แสนล้านภาพ และการเชื่อมต่อระหว่างคนในสังคมออนไลน์แห่งนี้มากกว่า 1 ล้านล้านคอนเน็คชั่น :O (หากพิจารณาจากไอคอนของบริการ Graph Search มันคือ รูป "แว่นขยาย" 3 อันมาเรียงตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยม นัยเหมือนจะบอกว่า มันเป็นการเชื่อมเสิร์ชที่เหนือกว่า"เสิร์ช")
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทำเนียบขาวยันไม่สร้าง Death Star

ทำเนียบขาวยันไม่สร้าง Death Star
เป็นเรื่องแปลกที่สร้างความฮือฮาไม่น้อย เมื่อมีข่าวลือว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาเตรียมเปิดโครงการอภิมหาโปรเจ็ค ด้วยการสร้าง "Death Star" ดาวมรณะดังเช่นภาพยนตร์ "Star Wars" เพื่อเป็นสถานีรบประจำอวกาศ แต่ข่าวนี้ถูกออกมาปฏิเสธจากทำเนียบขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตามกระแสข่าวที่ปรากฎออกมาระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนสร้าง "Death Star" สุดยอดอาวุธสำหรับกองทัพสหรัฐฯ หรืออีกนัยหนึ่งคือสถานีรบบนอวกาศนั่นเอง Death Star ที่ว่านี้ ถูกปฏิเสธโดย Paul Showcross หัวหน้าวิทยาศาสตร์และอวกาศประจำสำนักงบประมาณจากทำเนียบขาว เนื่องจากการก่อสร้างต้องใช้เงินลงทุนกว่า 850,000,000,000,000,000,000 ดอลลาร์ เป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ ขัดต่อนโยบายลดการขาดดุลของประเทศอีกด้วย
การออกมาชี้แจงเรื่องนี้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของประชาชนในสหรัฐฯที่ล่ารายชื่อกว่า 34,435 คน เพื่อให้รัฐบาลของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแถลงในกรณีดังกล่าว ซึ่งตามกฎหมายสหรัฐฯ รัฐบาลจะต้องออกมาชี้แจง หากมีการยื่นเรื่องพร้อมรายชื่อครบ 25,000 คน ภายใน 30 วัน ทั้งนี้การตอบข้อร้องเรียนของรัฐบาลต่อการสร้าง Death Star ในปี 2016 ระบุว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ไม่สนับสนุนการสร้างอาวุธตามภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลที่อาจส่งผลในแง่ลบต่อโลกหลายๆอย่าง และหากมี Death Star จริง ก็อาจถูกทำลายได้โดยยานเพียงลำเดียวอย่างที่เคยชมกันใน Star Wars โดยลุค สกายวอล์คเกอร์ นั่นเอง
ดาวมรณะ หรือ Death Star เป็นสถานีรบอวกาศขนาดยักษ์ในนิยายและภาพยนตร์ชุด Star Wars ตลอดทั้งเรื่องมีการสร้าง Death Star ออกมาทั้งหมดสองรุ่น ทั้งสองรุ่นมีขนาดใหญ่มาก มีรัศมีเป็นร้อยๆ กิโลเมตร และมีอาวุธทรงพลังจำนวนมาก
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สถานการณ์การซื้อ iMac ตามห้างในไทย

สถานการณ์การซื้อ iMac ตามห้างในไทย

ถือว่าเป็นโพสต์พิเศษเกี่ยวกับ iMac รุ่นใหม่โดยเฉพาะก็แล้วกันสำหรับโพสต์นี้ เรื่องมันมีอยู่ว่าผม (@pondkungz) เกิดอยากหา iMac รุ่นใหม่มาใช้ซักเครื่องเพราะได้ขายรุ่นเก่าไปได้พักใหญ่ๆ แล้ว และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ใดๆ ในการขอเครื่องก่อนชาวบ้านชาวช่องเค้าหรือสิทธิ์ในการซื้อช่องทางพิเศษอื่นๆ ซึ่งก็เลยต้องเดินหาตาม iStudio และร้านทั่วไป และแน่นอนว่าก็เจอปัญหาเดียวกับหลายๆ คนนั่นคือ…ไม่มีของ

สถานที่แรกๆ ในการตามหา iMac ของผมก็คือ iStudio ที่อยู่ในสยามพารากอน เพราะคิดว่าห้างใหญ่ๆ ยังไงของก็น่าจะเยอะพอสมควรน่า…แต่เมื่อประมาณ 3-4 วันที่แล้วที่ได้ไปสอบถามข้อมูลดู ปรากฎว่าพนักงานบอกว่าของหมดเกลี้ยงเลย ไม่มีเหลือซักตัว ถ้าจะสั่งก็ต้องรอประมาณ3-4 อาทิตย์ หรือว่าง่ายๆ ก็คือเดือนนึง ยิ่งถ้าจะสั่งแบบอัพเกรดเสปคยิ่งรอนานไปใหญ่เลยเดือนกันไปเลย

จากนั้นผมก็ได้ลองเข้าไปถามด้านในโซนของ Power Mall ดูกลับเหลือ iMac 27″ รุ่นใหม่อยู่หนึ่งเครื่อง ส่วนรุ่นอื่นหมดเกลี้ยง นับว่าแปลกใจเหมือนกันที่มีรุ่นจอใหญ่เหลือแต่เป็นตัวล่างสุด ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะขายไปหรือยัง ใครอยากลองดูก็ไปเดินถามดูได้
จนมาถึงวันนี้ผมได้มีโอกาสไปลองถาม iStudio สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวดูอีกครั้งเกี่ยวกับ iMac รุ่นใหม่ ซึ่งก็ได้คำตอบคล้ายๆ เดิมว่าหมดเกลี้ยง ถ้าอยากได้ต้องสั่งเอาเท่านั้น แต่พนักงานบอกว่าก็รอประมาณ 2 อาทิตย์ก็น่าจะได้ของแล้ว

สาเหตุที่เอามาเล่านั้นผมตั้งใจจะบอกว่าถ้าคิดจะซื้อ iMac ตามห้างต่างๆ บอกได้เลยว่าหาค่อนข้างยาก แต่ถ้าไปตามร้านค้าที่ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองนักน่าจะโอเคมีของเหลืออยู่หน่อย หรือไม่ก็ต้องลองหาซื้อตามร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายที่ไม่ใช่ iStudio ดู หรืออีกออปชั่นหนึ่งที่น่าสนใจคือการซื้อผ่าน Apple Online Store ซึ่งมีสถาณะว่าใช้เวลาจัดส่ง 7-10 วันซึ่งก็คือ 2 อาทิตย์พอๆ กับซื้อที่ร้านแต่ก็สะดวกดีไม่ต้องไปเดินหาหรือจองกันให้วุ่นวายในห้าง ก็แล้วแต่ถนัดกันไป

ส่วนการซื้อในห้างมีอย่างนึงที่น่าสนใจก็คือ iStudio ส่วนมากจะมีการจัดโปรโมชั่นผ่อน 0% 6 เดือนบ้าง 10 เดือนบ้าง ซึ่งก็น่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้การรอคอยและไปวุ่นวายตามร้านคุ้มค่าขึ้นมาบ้าง

ใครกำลังหาซื้อ iMac ช่วงนี้ที่ไหน ยังไง มาแชร์กันได้นะครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แชร์อินเตอร์เน็ตใน Mac ไปยังโน้ตบุ๊กเครื่องอื่นๆ หรือ iPhone, iPad ก็สามารถทำได้ง่ายๆ

แชร์อินเตอร์เน็ตใน Mac ไปยังโน้ตบุ๊กเครื่องอื่นๆ หรือ iPhone, iPad ก็สามารถทำได้ง่ายๆคงต้องยอมรับนะว่าในตอนนี้ใครหลายๆ คนมักมีอุปกรณ์ไอทีติดตัวกันมากกว่าหนึ่งชิ้น ที่หลักๆ แล้วสำหรับคนที่ต้องทำงานเป็นประจำก็ต้องมีโน้ตบุ๊กซักเครื่อง จากนั้นก็ตามมาด้วยสมาร์ทโฟน ที่ปกติแล้วในการใช้งานอินเตอร์เน็ตในโน้ตบุ๊กก็นิยมใช้สัญญาณ Wi-Fi ซึ่งถ้ากรณีอยู่บ้านหรือที่พักคงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว หรือแม้กระทั้งอยู่ร้านกาแฟที่มีอินเตอร์เน็ตบริการก็ไม่ต้องกังวลเช่นกัน ซึ่งถ้าสมมุติว่าจุดที่เราอยู่นั้นไม่มีเสาสัญญาณ Wi-Fi เลย เราก็สามารถแชร์อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟนมาอีกต่อหนึ่งแทนที่กันได้ทันที ที่เชื่อได้ว่าหลายๆ ท่านน่าจะทำเป็นกันอยู่แล้ว

แต่สำหรับในบทความนี้เราจะมากล่าวถึงการแชร์อินเตอร์เน็ต (กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ต) จากเครื่อง Mac ที่ไม่ว่าจะเป็น iMac หรือ MacBook รุ่นต่างๆ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ OS X ก็สามารถแชร์ไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟนอย่าง iPhone หรือแท็บเล็ตอย่าง iPad ด้วยคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวของ OS X อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาโปรแกรมเพิ่มเติม ที่เรียกได้ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มีอุปกรณ์ไอทีอื่นๆ หลายชิ้น ด้วยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเพียงหนึ่งช่องสัญญาณในตัว Mac และกระจายไปยัง iPhone, iPad ได้
การที่แชร์อินเตอร์เน็ตใน Mac ไปยัง iPhone, iPad เหมาะกับการที่เรามี iPhone แต่ไม่อยากใช้ 3G, EDGE ผ่านเครือข่ายกรณีที่เราต้องโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ หรือ iPad ในรุ่นที่มีแต่ Wi-Fi เพียงอย่างเดียว ที่เราต้องการใช้อินเตอร์เน็ต แต่ ณ ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ หรือซื้อแพ็คเก็จ Wi-Fi จากผู้ให้บริการเพียง User เดียว (สำหรับนักศึกษาที่อยู่หอพักน่าจะได้ใช้กันอยู่แล้ว) ที่ปกติแล้วเราจะเชื่อมต่อไว้กับ Mac ของเราเป็นหลัก โดยขั้นตอนการแชร์อินเตอร์เน็ตก็ทำได้ง่ายๆ เริ่มจาก

1. เข้าไปที่ System Preferences จากนั้นไปดูที่หมวด Internet & Wireless แล้วทำการเลือกไปที่หัวข้อ Sharing

2. แน่นอนว่าในการ Sharing นั้นมีมากมาย แต่ให้เราเลือกไปที่ Internet Sharing เพื่อทำการตั้งค่าต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน

3. เลือกว่า Mac ของเรานั้นรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตมาจากทางใด อย่างในกรณีที่ใช้กับบ่อยๆ ก็คือ Wi-Fi หรือ iPhone ที่ต่อ Hotspot ผ่าน USB

4. เลือกช่องทางที่ปล่อยออกไป (จะเลือกหลายๆ ช่องทางก็ได้) ที่โดยส่วนตัวนั้นก็เลือกที่จะปล่อยสัญญาณออกเฉพาะ Bluetooth เพื่อไว้ใช้งานกับ iPhone, iPad หรือโน้ตบุ๊ก

5. ทำการเลือกไปที่ On ตรง Internet Sharing พร้อมกด Start กับเชื่อมต่อ Paring ใน iPhone หรือ iPad ที่เราต้องการผ่านทางสัญญาณ Bluetooth

6. iPhone, iPad หรือโน้ตบุ๊กเครื่องอื่นๆ ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านทาง Bluetooth ที่แชร์จาก Mac ของเราได้แล้ว

นอกจากนี้กรณีที่เราเชื่อมต่อด้วย LAN ใน Mac แล้วต้องการแชร์ออกเป็น Wi-Fi ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ในกรณีที่เชื่อมต่อด้วย Wi-Fi มา เราจะไม่สามารถแชร์เป็น Wi-Fi ได้ ซึ่งในบทความนี้จึงจำเป็นต้องแชร์เป็นสัญญาณ Bluetooth ออกไป
คิดว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้งาน Mac ที่ต้องการแชร์อินเตอร์เน็ตไปยังอุปกรณ์อื่นๆ นะครับ เรียกว่าสามารถทำได้ง่ายและสะดวกอีกด้วย น่าจะถูกใจกันที่มี User เดี่ยวกันใน Log in อินเตอร์เน็ต ที่ปกติแล้วใช้ไปเชื่อมต่อ iPhone, iPad ทีก็จำเป็นต้องออกจากโน้ตบุ๊กก่อนเสมอ ปิดท้ายนี้หากใครสงสัยส่วนใดก็สอบถามได้เพิ่มเติมผ่านบทความนี้เลยนะครับ
ขอบคุณเนื้อหาและภาพประกอบ : notebookspec

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Facebook เผย 4 ปัจจัยหลักในการแสดงโพสต์บน News Feed

Facebook เผย 4 ปัจจัยหลักในการแสดงโพสต์บน News Feed
 
ข่าวนี้ใครที่ดูแล Page บน Facebook ควรทราบไว้ครับ มีรายงานข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจากบรรดาผู้ดูแล Page บน Facebook ว่าพวกเขาพบว่าโพสต์ต่างๆ ของ Page นั้นมีผู้เห็นโพสต์ (Reach) น้อยลง จึงเป็นไปได้ว่า Facebook มีการปรับอัลกอริทึมในการเลือกโพสต์มาแสดงบน News Feed ซึ่งในเวลาต่อมา Will Cathcart ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Facebook ได้เรียกนักข่าวมาเพื่ออธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
 
Cathcart อธิบายว่า News Feed ถูกสร้างมาเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าคนนั้นเข้า Facebook ทุกวันแต่พวกเขาไม่มีเวลาดูโพสต์ใหม่ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงต้องมีระบบคิดในการเลือกโพสต์ของ Page แต่ละอันขึ้นมาแสดง โดยมีปัจจัยหลัก 4 อย่างคือ
ถ้าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ของ Page นั้นในอดีต เช่นกด Like ทุกโพสต์ของ Page นั้น โพสต์ต่อๆ ไปก็จะแสดงใน News Feed
ถ้าคนอื่นใน Facebook มีปฏิสัมพันธ์สูงกับโพสต์ของ Page นั้นก็จะถูกเลือกมาแสดงเช่นกัน
แสดงผลตามลักษณะของโพสต์ที่คุณมีปฏิสัมพันธ์ด้วยบ่อย เช่นถ้าคุณชอบกด Like รูปภาพของ Page ต่างๆ News Feed ก็จะเลือกแสดงโพสต์ประเภทรูปภาพมากกว่า
ถ้าโพสต์ของ Page นั้นถูกรายงานปัญหาจากผู้ใช้งานคนอื่นมาก หรือตัว Page เองถูกรายงานปัญหาบ่อยครั้ง โพสต์ก็จะถูกแสดงน้อยลงด้วย เฉพาะปัจจัยนี้ถูกนำมาใช้ให้น้ำหนักมากขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2012
 
Cathcart บอกว่าการปรับรูปแบบนี้ส่งผลกระทบต่อ Page ต่างๆ อยู่บ้าง แต่ค่ามัธยฐานการถูกเห็นของโพสต์นั้นยังเท่าเดิม ทั้งนี้ Facebook มีการปรับอัลกอริทึมการเลือกโพสต์มาแสดงบน News Feed อยู่ตลอดเหมือนกับที่กูเกิลปรับปรุง PageRank เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่คนของ Facebook ออกมาอธิบายแนวคิดอย่างเป็นทางการครับ
 
สนับสนุนเนื้อหา : blognone / techcrunch

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Facebook จะครองโลกได้แล้ว!!

Facebook กำลังจะ"ครองโลก"ได้แล้ว?
แม้จะไม่ได้มีกระแสของการพูดถึง Facebook (เฟสบุ๊ค) ผู้นำโซเชียลเน็ตเวิร์กมากมายเหมือนที่ผ่านมา นอกจากข่าวทิศทางที่ไม่แน่นอน หรือโอกาสธุรกิจที่ไม่ชัดเจนแล้ว แต่ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดมีรายงานที่น่าสนใจออกมาว่า Facebook ยังคงเดินหน้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีการใช้บริการแพร่หลายไปยังผู้ใช้ในประเทศต่างๆ มากขึ้นจนเกือบจะทุกประเทศในโลกแล้ว

บล็อกของนักวิจัยชาวอิตาลี Vincenzo Cosenza ระบุว่า "ด้วยยอดผู้ใช้ที่แอคทีฟ 1 พันล้านคนของ Facebook จากผลการวิเคราะห์ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้นำโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ครอบคลุมผู้ใช้มากถึง 127 ประเทศจาก 137 ประเทศทั่วโลก"ทั้งนี้ Cosenza ยังได้นำเสนอแผนที่โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์กที่จัดทำออกมาล่าสุดให้ได้ดูกันอีกด้วย ซึ่งจากแแผนที่ดังกล่าวเผยให้เห็นว่า เฟสบุ๊ค (Facebook) กวาดผู้ใช้บริการไปเกือบทั่วโลกแล้ว แต่ยังมิอาจเอาชนะคู่แข่งอย่างโซเชียลเน็ตเวิร์กในรัสเซีย และจีนได้
ความสำเร็จของ Facebook แม้แต่ในบราซิลที่เดิมเป็นถิ่นของ Orkut โซเชียลเน็ตเวิร์กของ Google แต่ล่าสุดผลการสำรวจพบว่า มันได้ตกลงมาเป็นที่สองรองจาก Facebook ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรวมถึงในอินเดียที่ Orkut เองก็เคยได้ใจ แต่ก็ต้องพ่าย Facebook ไปในที่สุด อย่างไรก็ดี แผนที่โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ได้จากผลการศึกษาของ Cosenza น่าจะเป็นแค่แนวโน้มมากกว่าข้อเท็จจริง แต่อย่างน้อยมันก็เห็นได้ว่า Facebook ยังคงแผ่ขยายอณาจักรตนเองอย่างต่อเนื่องในขณะที่ Google+ และโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ ตามอยู่ห่าง และประเด็นที่สำคัญที่น่าจะทำให้ Facebook ไม่สามารถครองโลกได้ในเวลาอันสั้นก็คือ Facebook ไม่น่าที่จะเอาชนะเว็บไซต์สังคมออนไลน์ในรัสเซีย จีน และอิหร่านได้โดยง่ายอย่างแน่นอน

ที่มา : http://hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Fujiflim ประกาศเปิดตัว Fujifilm X100s และ Fujifilm X20

Fujiflim ประกาศเปิดตัว Fujifilm X100s และ Fujifilm X20
[7-มกราคม-2556] Fujifilm
ประกาศเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ โดยกล้องที่น่าสนใจสำหรับปีนี้ได้แก่ Fujifilm X100s ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก X100 ตัวเดิม และ Fujifilm X20 พัฒนามาจากรุ่น X10 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ได้รับการโปรโมทว่าเป็นกล้องที่มีระบบออโต้โฟกัสเร็วที่สุดในโลก สำหรับจุดเด่นของ Fujifilm X100s อยู่ที่ระบบโฟกัสและเซ็นเซอร์ที่ให้คุณภาพไฟล์ในระดับยอดเยี่ยม ส่วน Fujifilm X20 ก็ได้รับการพัฒนาเรื่องของวิวไฟน์เดอร์ เลนส์และระบบโฟกัสเช่นกัน

สำหรับ Fujifilm X100s มีการเพิ่มฟีเจอร์เจ๋งๆที่เรียกว่า Digital Split Image ที่เหล่ากล้องฟิล์มมือหมุนน่าจะชื่นชอบเพราะเป็นการนำเอาระบบโฟกัสแบบแมนนวลที่แบ่งภาพเป็นภาพเหลื่อมมาใช้ในการโฟกัส ใครที่สนใจกล้องของ Fujifilm อดใจรอกันอีกนิดคงได้สัมผัสกัน


ที่มา : http://hitech.sanook.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

!!!LG ยั่วกันเล็กๆ หรือในงาน CES จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ “Optimus G2”

!!!LG ยั่วกันเล็กๆ หรือในงาน CES จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ "Optimus G2"ใกล้วันเปิดงาน CES 2013 เข้าไปทุกที ก็ยิ่งมีข่าวอัพเดทจากแบรนด์ต่างๆมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน และคราวนี้เป็นทาง LG ที่ได้มีการปล่อย Trailer เชิญชวนผู้สนใจเข้าชมบูธแสดงสินค้าจากทาง LG แต่สิ่งที่เราได้เห็นกันในคลิปนี้ไม่ได้มีแต่คำเชิญชวนธรรมดาๆครับ ในวินาทีที่ 18 ของวีดีโอได้มีการเผยภาพบางส่วนของอุปกรณ์ที่มองดูคล้ายกับเป็นเครื่องสมาร์ทโฟน

ทำให้สื่อต่างประเทศตีความกันไปว่า อาจจะเป็นเครื่อง Optimus G2 ตามข่าวลือที่ออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้ โดยเจ้า G2 นี่เป็นสมาร์ทโฟนตัวอนาคตที่หลายคนแอบภาวนาให้มันออกมาปรากฏเป็นตัวจริงกันไวๆ ด้วยความอลังการของสเปคที่คาดกันไว้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีขนาดหน้าจอใหญ๋บิ๊กเบิ้มตามสมัยนิยม 5.5 นิ้ว และความละเอียดที่มาในมาตรฐานใหม่คือ 1080P พร้อม CPU แรงสุดแห่งยุคอย่าง Snapdragon S4 "Prime" processor (MSM8974 ) ซีพียู quad-core สีหัวประมวลผล ที่อัดรอบความเร็วไปอยู่ประมาณที่ 2.0 - 2.5 GHz เรียกว่าแรงกันสุดขั้ว

อย่างไรก็ตามความจริงก็อาจจะไม่เหมือนกับความคิดที่บรรดาสื่อชอบมโนภาพกันเอง เพราะวันจันทร์ที่จะถึงนี่ เราก็น่าจะรู้คำตอบของบรรดาข่าวลืออันมากมายหลากหลายกันแล้วละครับ ^^

ที่มา : http://www.facebook.com/AndroidSeed

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"Roboy" หุ่นเด็กสำหรับอนาคต : อัพเดทข่าว IT เทคโนโลยี ข่าวไอที

ความฝันในการสร้างหุ่นยนต์ของมนุษย์ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หากใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง "I Robot" (แสดงนำโดย วิล สมิธ) คงเห็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เป็นตัวเอกของเรื่องที่ชื่อ "ซันนี่" ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ พร้อมสมองกลที่สามารถคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์อาจกำลังเป็นจริงในอนาคตอันใกล้ เมื่อทีมวิจัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ร่วมกันสร้างหุ่นยนต์เด็กชายเสมือนจริงขึ้น ภายใต้ชื่อ "Roboy"




15 พันธมิตรที่ร่วมโครงการ, กว่า 40 วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ในเมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ใช้เวลากว่า 9 เดือนในการสร้าง "Roboy" หุ่นยนต์เด็กชาย ที่มุ่งเน้นความเป็นหุ่นยนต์ที่มีท่าทางการเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมนุษย์ อย่างเช่นการออกแบบฟังก์ชัน จำลองเอ็น, ข้อต่อกระดูก เพื่อให้ Roboy สามารถขับเคลื่อนทุกส่วนด้วยเส้นเอ็นตามลักษณะทางกายภาพเหมือนมนุษย์ยังไง ยังงั้น โดยขั้นตอนที่ว่านี้กำลังอยู่ในช่วงของการวิจัยและพัฒนา ส่วนแนวคิดของการออกแบบ Roboy นี้ก็เพื่อประโยชน์ในการดูแลผู้สูงอายุหรือคนพิการ, เป็นผู้ช่วยในการทำความสะอาดบ้านและโรงพยาบาล รวมถึงการเฝ้าระวังภัย เสมือนนักบริการคนหนึ่ง


หาก Roboy เสร็จสมบูรณ์ ทางทีมงานจะนำออกโชว์ในงานนิทรรศการเมืองซูริค ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้นักออกแบบยังให้ผู้ที่สนใจสามารถออกแบบโลโก้ประจำตัว Roboy ได้ หากโลโก้ใดโดนใจทีมออกแบบจะได้รับเงินรางวัลถึง 50,000 ฟรังก์สวิส เห็นแบบนี้แล้วทำให้นึกถึงการ์ตูนหุ่นยนต์เด็กอย่าง Astro Boy ขึ้นมาทันใด

ที่มา : [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th]

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

จะอยู่หรือจะไปรอวันกันในปี 2013

DL Special: จะอยู่หรือไป รอวัดกันในปี 2013
[25-ธันวาคม-2555] คงต้องยอมรับว่าปี 2012 เป็นปีที่สาวก Apple อาจจะรู้สึกจืดชืด และไม่ตื่นเต้นสักเท่าไร อาจเพราะอยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนถ่ายอำนาจภายใน ดังนั้นเรามาลองดูกันว่าปีหน้า Apple จะส่งอะไรออกมากอบกู้ภาพลักษณ์ความเป็นบริษัทที่เป็นเลิศด้านนวัตกรรมด้วย สิ่งใดบ้าง


iPad mini with Retina Display

หลายๆ คนอาจจะขยี้ตา แล้วค่อยๆ อ่านดูอีกครั้ง แต่คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะปีหน้ามีความเป้นไปได้ที่ Apple อาจจะเปิดตัว iPad mini with Retina Display ออกมาจริงๆ เพียงแต่ว่ามีจุดน่าสนใจหลายๆ อย่างที่ต้องนำมาคิดกันต่อ
iPad-mini
การเปิดตัว iPad mini ของ Apple ในปี 2012 ถือว่าทำได้ค่อนข้างจะโอเค และกำหนดตำแหน่งทางการตลาดชัดเจนว่าเป็น iPad 2 ฉบับย่อส่วน ที่ไม่ได้เน้นความเร็ว ความแรง หรือประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ไปเน้นที่ความบางเบา ความสะดวกสบายในการพกพาและใช้งานแทน จึงทำให้มันเป็น iPad ที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากเท่าไร แล้วทำไม Apple จะไม่เติมจุดเด่นให้มันเสียหน่อยล่ะ?
เทรนด์ของ Apple ในช่วงหลังๆ ชัดเจนว่าไปเน้นที่หน้าจอ Retina Display เป็นหลัก ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่คู่แข่งหลายๆ รายยังไม่อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยว และไม่อยากจะแข่งขัน เนื่องด้วยต้นทุนที่สูง และต้องมีจำนวนการสั่งซื้อชิ้นส่วนเป็นปริมาณมาก ซึ่งว่ากันว่าในโลกมีไม่กี่บริษัทที่สามารถสั่งผลิตหน้าจอความละเอียดสูง ระดับนี้มาขายโดยไม่ขาดทุน ดังนั้นชื่อของ Retina Display จึงถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับ iPad mini อย่างไม่ต้องสงสัย
หาก Apple จะอัพเดท iPad mini ครั้งต่อไป แน่นอนว่าน่าจะเริ่มจากสิ่งที่อยู่ภายใน อาทิเช่น CPU และหน่วยความจำภายใน ซึ่งตอนนี้ iPad mini ถือว่ามีสเปคที่ค่อนข้างจะล้าหลังคู่แข่งพอสมควร ดังนั้นเรื่องการอัพเกรดสเปคนั้นเราสามารถมั่นใจได้เลยว่าเกิดขึ้นแน่นอนใน ปี 2013 แต่สิ่งที่ยังเป็นคำถามเช่นเดียวกับตอนที่ Apple เตรียมเปิดตัว The new iPad นั่นคือ Apple จะใช้หน้าจอความละเอียดระดับไหนกับ iPad mini?
เนื่องจากปัจจุบัน iPad mini มีความละเอียหน้าจออยู่ที่ 1024 x 768 เท่ากับ iPad 2 แต่โดนลดขนาดลงมาเหลือ 7.9” ซึ่งทำให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูงอยู่แล้ว ดังนั้นถ้า Apple ใช้วิธีเพิ่มความละเอียดเป็นสองเท่าเหมือนเดิม ก็จะทำให้หน้าจอของ iPad mini มีต้นทุนที่สูงขึ้นมาก ดังนั้นจึงมีคำถามตามมาเล็กๆ ว่า Apple จะทำ Retina Display ของ iPad mini ออกมาเป็นแบบใด ซึ่งก็น่าสนใจมากกว่าตอนที่กำลังจะเปิดตัว iPad รุ่นที่ 3 เสียอีก
พูดถึงเรื่องช่วงเวลาการปล่อย iPad mini with Retina Display กันบ้าง โดยช่วงหลังๆ นักข่าวต่างประเทศก็เริ่มพูดถึงช่วงเดือนมีนาคมของปี 2013 ว่า Apple อาจจะทำการอัพเดท iPad mini ในช่วงนี้ ซึ่งจะเป็นการอัพเดทพร้อม Retina Display เลยหรือไม่ ยังไม่มีอะไรมายืนยันได้ชัดเจน

iOS 7

หลังจากที่ Jony Ive เข้ามามีบทบาทในการออกแบบส่วนของหน้าตาการใช้งาน (Interface) อย่างเต็มรูปแบบ เราเชื่อได้เลยว่าสินค้าหลังจากนี้ของ Apple ในส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะได้มือฉมังด้านการออกแบบอย่าง Jony Ive มาดูแลโดยตรง รวมไปถึงการดึงเอาผู้ที่ดูแล OS X อย่าง Craig Federighi มากุมบังเหียนของหน่วยงานที่พัฒนา iOS อย่างเต็มระบบ
iOS
ก่อนหน้านี้ Jony Ive เป็นเพียงผู้ออกแบบในส่วนของฮาร์ดแวร์ เช่นเครื่อง Mac, iPod, iPhone ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นฝีมือของเขาทั้งนั้น และเราก็พอจะจับแนวทางการออกแบบที่เรียบง่าย ดูดี ดูเนี๊ยบได้ จนกลายเป็นความเคยชินและเป็นสัญลักษณ์ของ Apple ไปแล้ว ซึ่งถ้าความรู้สึกเหล่านี้ถูกส่งต่อมายังหน้าตาของ iOS 7 อย่างเต็มรูปแบบล่ะ?
แน่นอนว่าถ้าคนออกแบบหน้าตาของ iOS และคนออกแบบหน้าตาของอุปกรณ์ที่จะใช้ iOS เป็นคนเดียวกัน ทั้งสองสิ่งน่าจะทำงานเข้ากันได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจาก iOS 7 ที่น่าจะเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่และบ่งบอกทิศทางอีกหลายปีในอนาคตของ Apple ได้เลย
ระบบแผนที่นำทางก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามอง เพราะอย่างที่รู้กันดีกว่าใน iOS 6 มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนใช้ iOS 5 ยังไม่กล้าอัพเดทเป็น iOS 6 นั่นก็คือแผนที่แบบใหม่ที่ยังทำงานได้ไม่ดีมากนัก แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผนที่ดังกล่าวเพิ่งเปิดใช้งานได้ไม่นานเท่าไร และยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันใจผู้คนยุคสมัยนี้ที่อะไรอะไรก็ต้องพร้อมใช้งานจริง ไม่สามารถรอได้เหมือนแต่ก่อน ดังนั้นต้องมาดูกันว่าแผนที่บน iOS 7 นั้นจะดีขึ้นได้แค่ไหน
กำหนดการเปิดตัว iOS 7 น่าจะเป็นงาน WWDC 2013 ที่จัดขึ้นเป้นประจำทุกปี และมีการอัพเดท iOS ในช่วงนี้อยู่ตลอด ซึ่งในปีนี้ก็น่าจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายน

MacBook Air with Retina Display

MacBook-Air
หากลองมาไล่ดูสินค้าของ Apple ดู พบว่าสินค้าที่มีจอแสดงผลขนาดปรกติ (ไม่นับ iPod nano) ตอนนี้สินค้าที่ไม่ได้มี Retina Display ก็มีเพียง iPad mini, iMac และ MacBook Air เท่านั้น ซึ่ง MacBook Air with Retina Display ก็เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝันที่จะได้มาครอบครองเหมือนกัน เพราะในปัจจุบัน MacBook ขนาด 13” ก็ยังห่างใกลจากความสะดวกสบายที่ได้รับในการพกพา MacBook Air 13” อยู่มากโข ซึ่งหาก MacBook Air สามารถทำหน้าจอความละเอียดสูงได้ระดับ Retina Display จริงๆ ก็เชื่อว่านี่จะเป็น Mac ที่สมบูรณ์แบบที่สุดตัวหนึ่งของ Apple กันเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าปวดหัวเพียงอย่างเดียวของ MacBook Air with Retina Display ก็คือเรื่องของความละเอียดหน้าจอ ซึ่งเป็นปัยหาเดียวกับ iPad mini with Retina Display เพราะทาง MacBook Air นั้นมีจอที่มีความละเอียดสูงอยู่แล้วแต่มีขนาดเล็ก ทำให้การอัพฒนาหน้าจอ Retina Display ขึ้นมารองรับทำได้ยาก และอาจจะถีบต้นทุนให้สูงขึ้นมากจนอาจจะดูแพงเกินไป ซึ่งก็ต้องมาดูเทรนด์ปีหน้ากันว่าจอระดับ Retina Display จะมีการนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนต่ำลงได้หรือไม่

iPhone 5S

ถึงแม้ว่าช่วงเวลานี้บางยังยังหาซื้อ iPhone 5 ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าคงต้องทำใจยอมรับ และเตรียมพบกับ iPhone 5S จาก Apple ในปีหน้า โดยถือเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วสำหรับ Apple ในยุคหลังๆ ที่จะออก iPhone มาปีละเครื่อง โดยที่จะมีการใช้ดีไซน์เดิมเป็นเวลาสองปี เหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้วกับ iPhone 3G และ iPhone 4 ที่ออก iPhone 3GS และ iPhone 4S ตามมาทีหลังในหนึ่งปีของแต่ละรุ่น
iPhone5S-2
สำหรับรายละเอียดต่างๆ ของ iPhone 5S ก็เป็นแค่เรื่องของการคาดเดาล้วนๆ ซึ่งตามปรกติแล้วก็จะเป็นการอัพเกรดสเปคภายในด้านความเร็ว เช่นเปลี่ยน CPU ไปใช้ตัวที่เร็วขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิก หรือจะเป็นการเพิ่มหน่วยความจำให้สูงขึ้น หรืออาจจะเป็นการตัดรุ่น 16GB ที่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอในยุคสมัยนี้เสียแล้วออกไปจากไลน์การผลิต
ปี 2013 ยังไม่น่าจะเป็นปีที่ iPhone จะโดดเด่นขึ้นมาสักเท่าไร (ขึ้นอยู่กับ iOS 7 อีกทีด้วย) เพราะยังไม่น่าจะมีอะไรใหม่ นอกจากนำของเดิมๆ มาทำให้เร็วขึ้น และดีขึ้นแค่บางจุด ดังนั้นสำหรับคนที่คาดหวัง iPhone รุ่นใหม่หมดจด ก็คงต้องรอไปอีกปี

OS X 10.9

เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่นับวันยิ่งมีรอบการอัพเดทที่สั้นมากๆ สำหรับ OS X ซึ่งล่าสุดเป็นเวอร์ชั่น 10.8 ที่ใช้ชื่อว่า Mountain Lion โดยเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มมีผู้ดูแลเว็บไซต์หลายๆ เว็บเห็นแหล่งที่มาจาก OS X เวอร์ชั่นดังกล่าวที่ยังไม่มีการเปิดตัว ได้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์บางเว็บเป็นระยะๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า OS X 10.9 นั้นอยู่ในขั้นทดสอบระบบต่างๆ แล้ว และน่าจะพร้อมเปิดตัวในปี 2013 นี้
ที่น่าสนใจก็คงไม่ต่างกับ iOS 7 ที่ทาง Jony Ive จะเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบอย่างเต็มตัว OS X ก็เช่นเดียวกัน โดย Jony Ive จะได้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาไปพร้อมๆ กับ Craig Federighi ที่ดูแล OS X อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันได้รับหน้าที่การดูแล iOS ไปด้วย ทำให้ OS X ในรุ่นต่อไปน่าจะเป็นการสอดประสานกันระหว่าง ดีไซน์ที่สวยงาม, ความสะดวกในการใช้งานของ iOS, และประสิทธิภาพในการทำงานของ OS X จนทำให้ OS X รุ่นใหม่น่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวและน่าสนใจที่สุดรุ่นหนึ่งเท่าที่เคยทำมา
สำหรับ OS X 10.9 น่าจะเปิดตัวช่วงงาน WWDC 2013 พร้อมกับ iOS 7 นั่นเอง

All new Apple TV

ความบันเทิงภายในบ้านเป็นสิ่งที่ Apple พยายามจะพาตัวเองเข้าไปสอดแทรกให้ได้มากที่สุด ซึ่งอุตสาหกรรมทีวีเป็นอะไรที่ดึงดูดให้นักงทุนพยายามจะทุ่มทุกวิถีทางเพื่อ พาตัวเองเข้าไปครองใจผู้บริโภคให้ได้ และ Apple ก็พยายามจะทำมานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่ได้สำเร็จเท่าไรนัก
Apple-TV
Apple TV เป็นเพียงกล่องเล่นไฟล์มีเดียต่างๆ ที่ทำหน้าที่ดาวน์โหลดคอนเท้นท์มาจากอินเตอร์เน็ท แล้วแสดงผลไปยังทีวีสารพัดยี่ห้อ ซึ่ง Apple ก็มีระบบ iTunes Store ที่รองรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นระบบที่เยี่ยมยอดและมีไฟล์มีเดียสารพัดรูปแบบให้ผู้ใช้ได้ดาวน์ โหลด, เช่า, หรือซื้อไปดูกันได้ แต่ดูเหมือน Apple ยังขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งหลายๆ ฝ่ายฟันธงออกมาตรงกันว่า Apple ควรจะมีจอ TV เป็นของตัวเองได้แล้ว
Apple TV รุ่นใหม่อาจจะเป็นทีวีดีไซน์เฉียบ ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก iMac มีขนาดหน้าจอ 42” ขึ้นไป และใช้เทคโนโลยี LED ที่ทำให้จอบางเบา และจะมีระบบทุกอย่างของ Apple TV ในปัจจุบันติดตั้งอยู่ในแผงวงจรในตัว รวมไปถึงพื้นที่จัดเก็บไฟล์มีเดียต่างๆ จนดูเผินๆ แล้ว Apple TV รุ่นใหม่อาจจะกลายเป็น iMac จอยักษ์ได้เลยทีเดียว
หาก Apple ทำสำเร็จและสามารถเข้าไปอยู่ในใจกลางความบันเทิงของบ้านได้ ก็น่าจะทำให้ Apple ติดปีกบินไปได้อีกใกล แต่ทว่าก็ต้องอย่าลืมว่าในปีหน้า คู่แข่งแต่ละรายก็ตั้งใจจะเข้ามาฟาดฟังแข่งขันในตลาดทุกตลาดที่ Apple อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นการบังคับให้ Apple e ต้องเริ่มพัฒนาตัวเองไปอีกขึ้น เพื่อฉีกหนีรูปแบบเดิมๆ ที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ ดังนั้นปี 2013 จึงเป็นอีกปีที่น่าติดตามว่าเราจะได้เห็นสินค้าอะไรใหม่จาก Apple บ้าง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

iPad Mini ผลิตไม่ทันต่อความต้องการ : อัพเดทข่าว IT เทคโนโลยี ข่าวไอที

รายงานข่าวล่าสุด Apple ยังคงประสบกับปัญหาเดิมๆ อันเนื่องเป็นผลจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ นั่นก็คือ การผลิตสินค้าไม่ทันต่อความต้องการ ทำให้เกิดภาวะขาดตลาด ดังเช่น iPhone 5 ที่แม้จะระดมพนักงานผลิตมากกว่า 150,000 คนมาช่วยกันทำทั้งโรงงานก็ยังไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการ เรื่อยมาจนถึงผลิตภัณฑ์สุดฮอตอย่าง iPad mini ทีก็กำลังประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน

แหล่งข่าวที่เฝ้าดูการผลิตสินค้า Apple จากโรงงานต่างๆ ในไต้หวันอย่าง Digitimes ระบุว่า โรงงานที่รับผิดชอบการผลิต iPad mini ให้กับ Apple ที่ต้องเตรียมชิ้นส่วนในการผลิต iPad mini ให้ได้ประมาณ 10 - 12 ล้านเครื่อง เพื่อจำหน่ายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2012 แต่ผลปรากฎว่า โรงงานผู้ผลิตเหล่านี้สามารถจัดเตรียม และผลิต iPad mini ได้เพียง 8 ล้านเครื่องเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ จำนวนเครื่องที่ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบลดน้อยลงไปมาก โดยปัญหานี้ทาง Apple คาดว่า จะสามารถเร่งกำลังการผลิต iPad mini เพื่อป้อนให้กับตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2013 ได้ไม่น้อยกว่า 13 ล้านเครื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมปีหน้าจะมี iPad mini ทะลักในตลาด และผู้ใช้มากกว่า 21 ล้านเครื่องแล้ว





ใน ขณะที่มีกระแสข่าวการผลิต iPad mini ไม่ทันแล้ว กลับมีข่าวที่อาจจะทำให้ผู้ใช้ iPad 4 ต้องเซ็งไม่แพ้ new iPad หรือ iPad 3 ก็คือ การทีมีข่าวออกมาว่า iPad 5 ที่บางเบากว่า iPad 3/4 อย่างเห็นได้ชัด กำลังจะวางตลาดในเดือนมีนาคมปีหน้าอีกด้วย แต่จากการที Apple กำลังเร่งระดมกำลังการผลิตทั้ง iPhone 5 และ iPad mini อยู่ในขณะนี้ การเปิดตัว iPad 5 ในเดือนมีนาคมปีหน้า จึงอาจจะเป็นไปได้ยากพอสมควร ถึงแม้สงครามแท็บเล็ตกำลังร้อนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม

ที่มา : [เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th]

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลง Windows 7 และ Windows 8 ในเครื่องเดียวกัน (Dual Boot)

คำถามนี้ ช่วงนี้ผมจะเจอบ่อยจากเพื่อนในกลุ่ม Software และ Hardware ของผม และจากอีเมลจากผู้ที่ติดตามบทความของผม ซึ่งผมเข้าใจดีว่าผู้ใช้ Windows 8 ยังกังวลอยู่เพราะ Windows 8 ยังใหม่มากกลัวการเข้ากันกับโปรแกรมที่ใช้อยู่เป็นประจำ กลัวใช้ไม่เป็นแล้วจะกลับมาใช้ Windows 7 ของเดิมก็จะต้องติดตั้งใหม่ ก็เอามันแบบลูกผสมคือ Dual Boot กันเหนียวไว้ก่อน

ผมจะมาบอกวิธีทำในบทความนี้ ไม่เป็นการยากครับทำตามขั้นตอนที่จะบอกต่อไปนี้
1.ต้องจัดการเรื่องพื้นที่ให้กลับ Windows 8 เริ่มที่คลิกขวาที่ไอคอน Computer ที่หน้าเดสก์ทอปของ Windows 7 คลิกคำสั่ง Manage
2.ที่หน้าต่าง Computer Management ให้คลิกที่ Disk Management จะเห็นรายละเอียดของไดรฟ์ทั้งหมดในเครื่อง ในที่นี้เราจะติดตั้ง Windows 8 ที่พาร์ติชันเดียวกับ Windows 7 ให้คลิกขวาที่พื้นที่ของไดรฟ์ C: เลือกคำสั่ง Shrink volume เพื่อหดพื้นที่ไดรฟ์ให้มีพิ้นที่ว่างสำหรับ Windows 8

3.จะมีหน้าต่างเพื่อให้เรากรอกพื้นที่ที่ต้องการ โดยใส่ตัวเลขพื้นที่ในช่อง Enter the amount of space to shrink in MB เลือกเอานะครับว่าจะเอาเท่าไรโดยปกติ Windows 8 จะใช้ประมาณ 20 GB สำหรับตัววินโดวส์ล้วนๆ เมื่อใส่ตัวเลขแล้ว ให้คลิก Shrink


4.หน้าต่อมาจะเห็นพื้นที่ว่างเกิดจากการหดไดรฟ์ C: สังเกตว่ามีคำว่า Unallocated แสดงอยู่ ให้สร้างพาร์ทิชันใหม่คลิกขวาที่พื้นที่นี้ เลือกคำสั่ง New Sample Volume ตั้งชื่อไว้เลยเพื่อไม่ให้สับสนในเวลาเลือกพาร์ทิชันในการติดตั้ง Windows 8 ตัวอย่าง ผมตั้งว่า Windows 8

5.เพื่อให้เลือกระบบไฟล์เป็นฟอร์แมตแบบ NTFS

6.มาถึงขั้นตอนติดตั้ง Windows 8 ให้คุณบูตจากแผ่นติดตั้ง Windows 8 (DVD) หรือ USB Flash Drive Bootable ก็ได้แล้วแต่สะดวกของคุณนะครับ (วิธีทำแผ่นติดตั้งสามารถอ่านได้ที่นี้ คลิก ) ให้ทำตามขั้นของวินโดวส์ เมื่อมาถึงการเลือกติดตั้งแบบใด ให้เลือกเป็น Custom: Install Windows only (advanced)

7.และเลือกติดตั้งพาร์ทิชันที่ Windows 8 ที่คุณได้สร้างไว้ก่อนหน้านี้


8.ทำการติดตั้งต่อจนเสร็จ เมื่อบูตเครื่องเพื่อใช้งานคุณจะพบกับหน้าเมนูบูตที่มี Windows 7 และ Windows 8


การถอน Windows 8 ออกใช้ Windows 7 ตัวเดียว
เมื่อบอกวิธีการทำให้เครื่องใช้โอเอส 2 ตัว คือ Windows 7 กับ Windows 8 แล้ว ก็ขอเพิ่มเติมวิธีการลบ Windows 8 ถ้ากรณีต้องการกลับมาใช้ Windows 7 อย่างเดียว (เรียนผูกแล้วต้องเรียนแก้ด้วย) ในที่นี่ผมจะบอกให้ 2 วิธี เอาแบบใช้ฟีเจอร์ในตัววินโดวส์ช่วยกับใช้โปรแกรมตัวอื่นช่วย…..มาเริ่มกัน
วิธีที่ 1
1.ให้บูตเครื่องโดยใช้ Windows 7
2.พิมพ์คำสั่ง compmgmt.msc ลงในช่องว่าง Search ของ Start Menu แล้ว Enter เมื่อหน้าต่าง Computer Management เปิดขึ้นมาดูที่รายการ Storage ให้คลิกที่ Disk Management


3.ที่พาร์ติชันของ Windows 8 ให้คลิกขวาที่พาร์ติชันเลือกคำสั่ง Delete Volume เพื่อลบพาร์ติชันของ Windows 8 เมื่อลบพาร์ติชันแล้วพาร์ติชันจะมีพื้นที่เป็นน unallocated ซึ่งเราสามารถจะสร้างเป็นพาร์ติชันใหม่หรือจะเอาไปรวมกับพาร์ติชัน C ได้

4. เมื่อรีสตาร์ทเครื่องขึ้นมาใหม่ที่ Windows Boot Manager screen จะมีรายการเพียง Windows 7 เท่านั้น

วิธีที่ 2
1.ให้ไปดาวน์โหลดเครื่องมือเล็กๆ ที่ชื่อว่า EasyBCD จาก ที่นี่ แล้วทำการติดตั้งใน Windows 7 เมื่อติดตั้งเสร็จโปรแกรมนี้จะค้นหารายการบูตของโอเอสต่างๆ ในเครื่องและสร้างรายการบูตให้อัตโนมัติ (ปกติแล้วโปรแกรมนี้จะใช้ทำมัลติบูตให้กับเครื่องที่ลงหลายๆโอเอส แต่ในตัวโปรแกรมก็มีฟีเจอร์ลบบูตของโอเอสต่างๆ ได้)
2.เปิด EasyBCD ขึ้นมา แล้วคลิกที่ปุ่ม Edit Boot Menu จะเห็นรายการบูตทั้งหมดที่อยู่ในเครื่อง

3.ให้คลิกที่ Windows 8 แล้วคลิกปุ่ม Delete จะมีคำเตือนออกมาให้คลิก Yes

4.จะเห็นว่าในรายการบูตนั้น Windows 8 หายไปแล้ว ให้คลิก Save Settings อีกครั้ง

5.เมื่อบูตเครื่องในครั้งต่อไปจะไม่มีเมนูของ Windows 8 แล้ว จะเลือกแต่ Windows 7 ส่วนโปรแกรม EasyBCD ก็แนะนำให้ uninstall ออกได้ครับเพราะไม่มีผลกระทบต่อระบบแต่อย่างไร
หมายเหตุ : ถ้าต้องการจะลบ Windows 7 แล้วเก็บ Windows 8 ไว้ใช้งานตัวเดียวก็สามารถทำได้ด้วยโปรแกรมนี้ การทำใช้วิธีเดียวกันกับลบ Windows 8

ที่มา : http://notebookspec.com

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS